เพลงอิเล็กทรอนิกที่ทั้งฟังเพลินและคุ้นหูพอๆ กับเพลงร็อคอมตะ
23
เพลงดังของอัลบั้มนี้อย่าง “One More Time”, “Harder Better Faster Stronger”, “Digital Love” นั้นเรียกได้ว่าเป็นเพลงหากินของทั้งดีเจงานแต่งและนักปรัชญาที่ชอบวิเคราะห์วัฒนธรรมป๊อปเลยทีเดียว ส่วนเพลงอื่นๆ อย่าง “Aerodynamic” ที่มีซาวด์เลียนแบบกีตาร์ในเพลงเมทัล หรือ “Veridis Quo” ที่มาพร้อมความฟุ้งฝันแบบ Sci-Fi รวมถึงเพลงสไตล์ยูเคการาจที่ Todd Edwards มาร่วมร้องอย่าง “Face to Face” ก็เป็นการหยิบเพลงสไตล์อื่นๆ มาผสมแบบแบบจุ๊บๆ จิ๊บๆ โดยไม่ทำให้กระทบซาวด์หลักของอัลบั้ม คำว่า “ดนตรีอิเล็กทรอนิก” ที่ปกติจะทำให้รู้สึกถึงอนาคต (ที่ถึงแม้จะไม่ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง) ถูกนำเสนอออกมาในแบบฟังเพลินแถมยังคุ้นหูราวกับฟังเพลงร็อคในวันวาน แถมยังรู้สึกได้ถึงความลึกซึ้งทางอารมณ์อย่างแท้จริง
“พวกเขาหยิบเอาซาวด์ฟังก์ ดิสโก้ ซอฟต์ร็อค หรือป๊อปยุค 80 มาใช้ในแบบที่ฟังแล้วไม่รู้สึกคุ้นเลย ออกจะเหมือนความฝันแห่งอนาคตด้วยซ้ำ ซึ่งคุณก็จะได้ยินเทคนิคทางดนตรีที่อยู่เหนือกาลเวลาแบบนี้ในทุกเพลงของ Daft Punk”
คุณสามารถแกะรอยซาวด์ EDM และการผนวกกันของดนตรีเทคโนและร็อคได้ใน Discovery และในขณะเดียวกันก็ยังสามารถสืบสาวกลับไปจนเจอ Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band หรือ Pet Sounds และ Smile ได้ด้วย อัลบั้มนี้คืองานที่ให้ความสำคัญกับเพลงป๊อปราวกับว่าเป็นงานศิลปะ ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนรูปแบบของเพลงเก่าๆ ที่ดูอาจจะไม่เท่ ให้ฟังดูล้ำสมัยและสดใหม่ และเหนือสิ่งอื่นใด Daft Punk หวังที่จะเป็นศิลปินที่ทุกคนเข้าถึงได้ และแม้มันจะเคยดูเป็นไปไม่ได้สำหรับชายฝรั่งเศส 2 คนที่สวมหมวกหุ่นยนต์ แต่ Discovery ก็พาพวกเขาไปถึงจุดนั้นได้สำเร็จแล้ว