งานเดบิวต์ว่าด้วยวิถีแห่งอาชญากรรมที่กลั่นออกมาเป็นงานศิลป์ชิ้นขึ้นหิ้ง
32
เพราะตั้งชื่ออัลบั้มแรกของตัวเองว่า Ready to Die นี่เอง Christopher Wallace จึงได้บรรจุทั้งเนื้อหาสุดบ้าบิ่นแบบไม่ออมมือ และความรู้สึกที่ว่าจะตายวันตายพรุ่งก็ได้เอาไว้ในอัลบั้มนี้ แม้จะไม่ใช่คนแรกที่แร็พถึงความสุขและหลุมพรางของการค้ายา แต่ Biggie Smalls ผู้นี้ก็ได้ยกระดับการแร็พของตนให้กลายเป็นงานศิลปะอันทรงคุณค่าและตรงไปตรงมาอย่างแสบสัน
ใน “Things Done Changed” ที่เปรียบเสมือนอัตชีวประวัติ Christopher ในวัย 22 ได้พูดถึงอาชญากรรมและวัฒนธรรมในบรูกลินแบบโต้งๆ โดยไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์ ราคาของการปากกัดตีนถีบถูกบอกเล่าออกมาอย่างหมดเปลือกใน “Gimme the Loot” เพลงขวัญใจโจรวัยโจ๋ และ “Suicidal Thoughts” ที่อยู่ท้ายอัลบั้ม ซึ่งจบด้วยเสียงปลิดชีพของตัวเขาเอง
นอกเหนือไปจากความรุนแรงและความตายบนฉากหลัง B.I.G. ยังได้รวมเอาช่วงเวลาของการมีความมุ่งมั่นและความมั่นใจมาใส่ไว้ในอัลบั้มนี้ด้วยเช่นกัน ในซิงเกิลแจ้งเกิด “Juicy” เขาได้ประกาศความรักที่มีต่อฮิปฮอปผ่านการบอกเล่าเนื้อหาที่ส่วนตัวเอามากๆ ชนิดที่น้อยคนนักจะเอาอย่างได้ ไรม์ที่เล่าเรื่องราวชีวิตสีเทาๆ บนท้องถนนถูกทำให้ฟังดูอ่อนลงด้วยแทร็กจากโปรดักชันสุดเนี้ยบที่ทำขึ้นมาให้พร้อมเปิดตามคลื่นวิทยุ ซึ่งเป็นแบบอย่างให้ JAY-Z, 50 Cent และแร็พเปอร์มากมายในปัจจุบันยังคงดำเนินรอยตาม
“Ready to Die ไม่เคยเสื่อมความนิยม เพราะเรื่องราวที่เล่าในตอนนั้นก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆ ในตอนนี้”