Apple Music: 100 อัลบั้มที่ดีที่สุด

นี่คือภาพหน้าปกอัลบั้ม “@@album_name@@” ของ @@artist_name@@

Paul’s Boutique

Beastie Boys

48

Beastie Boys มุ่งหน้าสู่ฮอลลีวูดและพลิกวิธีที่คนมองฮิปฮอปไปตลอดกาล

ในปี 1989 การใช้แซมพลิงในเพลงฮิปฮอปกำลังเฟื่องฟูและไร้กฎเกณฑ์สุดๆ แต่แล้วกระแสการฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์ก็นำมาซึ่งอุปสรรคทางกฎหมายมากมายที่ทำให้ความเสรีของโลกดนตรีต้องหยุดชะงัก แต่กลายเป็นว่า ปี 1989 กลับเป็นยุคที่ Beastie Boys ทำเพลงแบบฟรีสไตล์สุดๆ หลังโยกย้ายจากนิวยอร์กสู่ฮอลลีวู้ดฮิลล์เพื่อตักตวงโอกาสในช่วงที่อัลบั้ม Licensed to Ill กำลังประสบความสำเร็จแบบฉุดไม่อยู่ อัลบั้ม Paul’s Boutique จึงเป็นการปะทะสุดดุเดือดของสองปรากฏการณ์สำคัญในยุคนั้น

“เราตัดสินใจว่าจะใส่ไอเดียบ้าบอทุกอย่างของพวกเราลงไปในอัลบั้มนี้”

Adam “Ad-Rock” Horovitz

Beastie Boys

หลังจบกับ Def Jam Records และ Rick Rubin แบบไม่ค่อยสวยนัก Beastie Boys ก็ชักชวน The Dust Brothers ดูโอ้จากลอสแอนเจลิสมารับหน้าที่โปรดิวซ์งานชุดนี้ นอกจากแซมเพิลวินเทจฟังก์และโซลสุดตื่นตาตื่นใจที่หยิบมาใส่แบบไม่กั๊ก (แม้บางแซมพ์จะฟังแทบไม่ออก แต่พวกเขาก็ยังต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เน้นๆ) และท่อนสั้นๆ จากเพลง “The End” ของ The Beatles เราจะได้ยิน Mike D, MCA และ Ad-Rock ระเริงใจไปกับความสำราญ การทำลายข้าวของ และท่อนแร็พแซวเคราแพะของ MCA อย่าง “a beard like a billy goat” แม้อัลบั้มนี้จะไม่เหมือนงานที่พวกเขาเคยทำมา และไม่เหมือนงานที่ใครเคยทำมาก่อน แต่ยอดขายของอัลบั้มกลับลดฮวบ ก่อนที่ 3 ปีต่อมา พวกเขาจะเลิกใช้แซมเพิลที่ทำให้เสี่ยงโดนฟ้องแล้วหันมาใช้เครื่องดนตรีสด ซึ่งนับเป็นการพลิกโฉมครั้งที่ 3 ในช่วงเวลาเพียง 3 อัลบั้ม แต่ Paul’s Boutique ก็จะยังคงเป็นอนุสรณ์ถึงศิลปะการแซมพลิงและจุดสูงสุดของฮิปฮอปในช่วงเวลาที่สร้างสรรค์และซุกซนที่สุดเช่นเคย