อัลบั้มโซลที่เต็มไปด้วยการค้นหาและกว้างขวางครอบคลุมที่สุดเท่าที่เคยมีมา
6
ในปี 1974 Stevie Wonder เป็นป๊อปสตาร์ที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลก และเขากำลังคิดจะออกจากวงการดนตรีด้วย ดังนั้นเมื่อเขาปล่อยอัลบั้ม Songs in the Key of Life ในอีก 2 ปีต่อมา ความต้องการจึงสูงมากจนมันกลายเป็นอัลบั้มที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ณ เวลานั้น และในที่สุดทุกคนก็พากันลืมเรื่องก่อนหน้านั้นไปจนหมด
Stevie วางตัวเป็นเจ้าผู้ทรงอำนาจและเปี่ยมเมตตาในจักรวาลอันกว้างใหญ่ที่เขาวาดขึ้นมาเองและเก็บบทเพลงอันน่าทึ่งเอาไว้ Songs in the Key of Life ซึ่งมีความยาวเกือบ 90 นาที มีท่วงทำนองเด่นชัด ขอบเขตที่กว้างขวาง เนื้อหาที่ลงลึกในประเด็นส่วนตัว และบ่อยครั้งก็แปลกประหลาด ในยุคที่เพลงร็อคเป็นใหญ่ในวงการ Stevie ได้สร้างอัลบั้มโซลที่เต็มไปด้วยการค้นหาและกว้างขวางครอบคลุมที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เริ่มต้นจาก“Sir Duke” และ “I Wish” ซิงเกิ้ลหัวตารางชาร์ตที่มีเสียงเครื่องทองเหลืองเป็นตัวชูโรง โดดเด่นด้วยท่อนฮุก และพรั่งพรูด้วยมุมมองเชิงบวก ทั้งสองเพลงนี้กลายเป็นเพลงประกอบงานปาร์ตี้บาร์บีคิวและงานแต่งงานมาแล้วนับไม่ถ้วนตลอดหลายทศวรรษ ขณะที่อีกฟากหนึ่งนั้นคือบทเพลงโซลที่ถ่ายทอดความเป็นจริงอันโหดร้ายอย่าง “Village Ghetto Land” และ “Pastime Paradise” ซึ่ง Stevie ปลีกตัวจากวงดนตรีไปร่ายคำประณามการละทิ้งความพยายามในเรื่องสิทธิมนุษยชน จากนั้น Aisha ลูกสาวของ Stevie ก็ได้มาส่งเสียงในบทเพลงน่ารักของคนอวดลูกสาวอย่าง “Isn’t She Lovely”
เมื่อ Songs in the Key of Life ใกล้มาถึงบทสรุป Stevie ก็เคลียร์ฟลอร์เต้นรำนาน 15 นาทีเพื่อบทเพลงกอสเปลดิสโก้อันโอ่อ่าหรูหราใน “As” และ “Another Star” แต่ช่วงเวลาสำคัญของอัลบั้มนี้น่าจะอยู่ที่โบนัสแทร็ก (เดิมออกมาในรูปของแผ่นเสียง 45 rpm ที่แถมมากับแผ่นไวนิลของตัวอัลบั้ม) ซึ่งเริ่มด้วยการออกสู่ห้วงอวกาศในเพลงแฟนตาซีแนวแอฟโฟรฟิวเจอริสต์อย่าง “Saturn” แต่เมื่อเสียงคอร์ดจากซินธิไซเซอร์จางหายไป Stevie ก็เดินทางไกลหลายปีแสงกลับมาสู่สนามเด็กเล่นในชานเมืองที่เราจะได้ยินเสียงของเด็กๆ ผิวดำเล่นกระโดดเชือก ไม่ว่าจะมองในแง่ดนตรี วัฒนธรรม หรืออารมณ์ Songs in the Key of Life ก็ไปไกลเกินกว่าการเป็นคอลเล็กชันรวมบทเพลงจำนวนมาก สิ่งที่มันทำคือการสร้างมุมมองต่อโลกทั้งใบขึ้นมา