นักตีความผู้ไม่มีใครเหมือนในช่วงที่เธอโชว์พลังเต็มขั้นและแปลงโฉมสู่หลากหลายสไตล์
88
I Put a Spell on You กลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Nina Simone และเพลงชื่อเดียวกันกับอัลบั้มก็กลายเป็นซิงเกิ้ลที่โด่งดังที่สุดนับตั้งแต่เธอเปิดตัวมา โดยเป็นการคัฟเวอร์เพลงร็อคคลาสสิกสุดคัลต์ของ Screamin’ Jay Hawkins พร้อมแต่งเติมด้วยเครื่องสายและการถ่ายทอดอารมณ์อย่างพรั่งพรู แต่สุดท้ายแล้ว “Feeling Good” กลับกลายเป็นเพลงที่คนรู้จักกันมากที่สุดจากอัลบั้มนี้ โดยความยิ่งใหญ่ของเสียงฮอร์นและวงออร์เคสตราก็ยังเทียบไม่ได้กับพลังเสียงของ Nina ในเพลงจากมิวสิเคิลที่นำมาสร้างสรรค์ใหม่ทั้งหมดเพลงนี้ นี่คือบทเพลงเฉลิมฉลองในคีย์ไมเนอร์ ซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ เลย
“เธอร้องทุกเพลงได้โดยสื่อความหมายจากใจจริง”
ด้วยการประทับตราของตนเองลงในบทเพลงหลากหลายแนว Nina ต้องต่อสู้กับการถูกติดป้ายอันจำกัดคับแคบว่าเป็น “นักร้องเพลงแจ๊ส” ในขณะที่คำว่า “นักร้องเพลงป๊อป” ที่ถูกนำมาใช้แทนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เพราะความล้ำทางดนตรีของ Nina นั้นไม่มีทางถูกกลบได้แม้จะมีไลน์เครื่องดนตรีซ้อนทับเข้ามาอีกกี่ชั้นก็ตาม เธอเป็นนักตีความที่ไม่เหมือนใคร และไม่ว่าศิลปินที่ร้องเพลงมาก่อนหน้าหรือหลังเธอจะร้องเพลงแบบใดก็ไม่สามารถหยุดยั้งเธอได้ ไม่ว่าจะเป็นการนำเพลงจากมิวสิเคิลมาสร้างสรรค์ใหม่ (“Beautiful Land”) การแปลงโฉมชั่วคราวเป็นนักร้องหญิงตามไนต์คลับ (“Ne Me Quitte Pas” ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเพลงที่มีเนื้อร้องเดิมเป็นภาษาฝรั่งเศส) หรือการนำเพลงอาร์แอนด์บีคุ้นหูมาเติมความสนุกสนานใน “Gimme Some” Nina ก็ร้องได้สบายๆ เท่าเทียมกันทุกเพลง และเป็นตัวของตัวเองอย่างน่าจดจำเท่าเทียมกันทุกเพลงด้วย